กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหาปลาคนหนึ่งชื่อว่า “ เศรษฐี ” เขามีภรรยาสองคน คนแรกชื่อว่า “ กนิษฐา ” คนที่สองชื่อว่า “ กนิษฐี ” นางกนิษฐามีลูกสาวคนเดียวชื่อว่า “ เอื้อย ” ในขณะที่นางกนิษฐีมีลูกสาวสองคน คนแรกชื่อ “ อ้าย ” กับ “ อี่ ” ชายหาปลาไม่ชอบภรรยาหลวงและลูกสาวของนาง จึงมักจะดุค่าและบังคับให้ทำงานหนักทุกวันในขณะที่นางกนิษฐีผู้เป็นภรรยา น้อยกับลูกสาวสองคนใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายเพราะไม่ต้องทำงานหนักเหมือนอย่าง แม่ลูกคู่นั้น อย่างไรก็ตามทั้งนางกนิษฐีและลูก ๆ ของนางก็ยังเกลียดนางกนิษฐาและเอื้อยอีกซ้ำยังอิจฉาริษยา และหาทางกลั่นแกล้งสองแม่ลูกอยู่ตลอดเวลา พระ ราชาลงโทษพ่อแม่ของอ้ายด้วยการส่งแกงที่ปรุงด้วยเนื้อของลูกสาวของทั้งสองไป ให้ เพื่อเป็น การแก้แค้นต่อความโหดร้าย และโทษมหันต์ที่ทั้งคู่กระทำไว้ในอดีต ในเวลานั้นพระโพธิสัตว์ทรงเสด็จมาเทศนาโปรดพระราชาและพระราชินี พระองค์บอกให้ทั้งสองเอาชนะความเกลียดชังด้วยความรัก และไม่ให้จองเวรเพราะการจองเวรไม่มีวันรู้จบ ที่พระราชินีต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัสก็เพราะบาปที่นางทำไว้ในชาติ ก่อน ดังนั้นพระราชาจึงทรงให้อภัยชายหาปลาและภรรยาของเขาและชวนให้มาอยู่ในวังอย่างมีความสุข นับแต่บัดนั้น ทุก ๆ เช้า ชายหาปลาจะออกไปทอดแหหาปลาในแม่น้ำและจะมีภรรยาสองคนผลัดกันเป็นคนพายเรือ ให้คนละวันหลังจากได้ปลามากพอในแต่ละวันแล้วก็จะนำไปขายที่ตลาดก่อนกลับบ้าน อยู่มาวันหนึ่ง นางกนิษฐาทำหน้าที่เป็นคนพายเรือให้สามีในขณะหาปลา แต่ว่าไม่ได้ปลาสักตัวเดียวนอกจากปลาบู่ทองตัวหนึ่งเท่านั้น ตลอดทั้งวันชายหาปลาทอดแหแล้วทอดอีกก็ได้แต่ปลาบู่ทองตัวเดิมมาทุกทีเขา ปล่อยมันลงไปในน้ำแต่ไม่นานมันก็ติดแหขึ้นมาอีก เขาโมโหมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี และทุกครั้งที่เขา ได้ปลาบู่ขึ้นมาภรรยาของเขาก็จะขอเขาไว้เพื่อเก็บไว้ให้ลูกของตนเลี้ยงเล่น แต่เขาจะโยนมันทิ้งไปโดยไม่แยแส คำขอร้องของภรรยาตนแต่ในที่สุดก็เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงจนถึงขั้นตบดีนางและ ผลักนางลงน้ำไป ภรรยา ของเขาจึงจมน้ำตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็นด้วยเหตุนี้ชายหาปลาจึงกลับ บ้านเพียงลำพัง และพบเอื้อยกำลังรอแม่ของตนกลับมาอยู่ และเมื่อลูก สาวถามหาแม่เขาก็ปฏิเสธที่จะพูดอะไรออกไปเมื่อลูกสาวคะยั้นคะยออยู่ตลอดเวลา เขาจึงบอกว่าแม่ของนางไป อยู่ใต้น้ำและจะกลับมาในอีก 3 วัน และบอกให้ลูกสาวหยุดร้องไห้มิฉะนั้นแล้วแม่ของนางจะไม่กลับมาอีกเลย และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะไม่เข้าใจว่าบิดาของตนพูดอะไร แต่ก็นึกเอาว่ามารดาของตนต้องประสบอันตรายอย่าง แน่นอน ดังนั้นนางจึงร้องไห้โฮออกมา ฝ่ายชายหาปลาเกรงว่าข่าวการหายไปของภรรยาตนจะแพร่หลาย จึงบังคับให้ลูกสาวหยุดร้องไห้ในทันทีและเริ่มทุบตีนาง เพื่อนบ้านเข้ามาขัดขวางและถามถึงภรรยาหลวงของเขา ชายหาปลาก็พูดโกหกไปว่าหนีตามชู้ไปแต่ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา เพราะทุกคนรู้ว่าชายหาปลาผู้นี้เกลียดภรรยาหลวงและรักภรรยาน้อยมากกว่า แต่ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้มาก ได้แต่เพียงช่วยปลอบใจเอื้อยเท่านั้นรุ่งเช้าพ่อกับแม่เลี้ยงบอกให้ นางทำงานบ้าน แต่นางยังเจ็บแผลที่ถูกเฆี่ยนตีอยู่จึงขอหยุดพักแต่ทั้งคู่ ไม่ยอมฟังนาง ตรงกันข้ามกับลูกสาวทั้งสองคนของแม่เลี้ยง ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย พวกเขาเพียงแต่กินและ เล่นเท่านั้นเอง หลังจากจมน้ำตาย นางกนิษฐาก็ไปเกิดเป็นปลาบู่ทอง ว่ายน้ำมาที่ท่าน้ำหน้าบ้านและรอเอื้อยด้วย ความรัก ปลาบู่ทองเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอื้อยฟัง นางสงสารผู้เป็นแม่มาก นางจะนำอาหารมาให้ปลาผู้เป็น มารดาและพูดคุยกันเพื่อจะได้ลืมความทุกข์โศกทั้งปวง แต่ไม่นานนัก อ้ายก็รู้เรื่องเข้าจึงไปบอกให้แม่ตนเองทราบและแล้วผู้เป็นแม่ก็วางแผนฆ่า ปลาบู่ทอง เสีย ในขณะที่เอื้อยได้รับคำสั่งให้ไปเลี้ยงวัวในทุ่งนา ปลาบู่ทองก็ถูกล่อไปฆ่ากินเป็นอาหาร ผู้เป็นแม่เลี้ยง ให้หมาและแมวกินก้างปลาบู่ทองหมดและโยนเกล็ดทิ้งไป ด้วยความสงสารเอื้อยจึงไปถามหมาและแมวซึ่ง ทั้งสองก็ปฏิเสธที่จะบอกความจริง เปิดเข้ามาปลอบเอื้อยและมอบเกล็ดปลาบู่ทองให้นาง เอื้อยเสียใจมากที่ ได้รู้เรื่อง ดั้งนั้นนางจึงฝังเกล็ดปลาบู่ทองไว้ในป่า และตั้งอธิฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือเปราะ ด้วยพรของเทวดาในทันใดนั้นก็เกิดต้นมะเขือเปราะงอกงามขึ้น นับแต่นั้นมาเอื้อยผู้มีความสุขก็จะมากราบไหว้ และพูดคุยกับต้นมะเขือเปราะทุกวันแต่โชคร้าย อ้ายก็แอบมาเห็นอีจึงไปบอกแม่ของตน ผู้เป็นแม่จึงสั่งให้นางถอนต้นมะเขือเปราะทิ้ง แล้วนำผลมาทานทันที หลังจากกินแล้วก็โยนเม็ดมะเขือเปราะทิ้งไป เป็ดก็เก็บเม็ดมะเขือไว้ให้เอื้อยอีกเอื้อยเสียใจอย่างสุดซึ้ง นางจึงนำเม็ดมะเขือไปปลูกไว้ในป่าแล้วอธิฐาน ขอให้แม่เกิดเป็นต้นโพธิ์ เพื่อที่นางจะได้ กราบไหว้บูชา และด้วยพรของเทวดาต้นโพธิ์ก็งอกงามขึ้นในบัดดลในกาลต่อมา พระเจ้าพรหมทัตเสด็จมาทรงเห็นต้นโพธิ์ก็ทรงอยากได้ไปปลูกในวังจึงให้ถามหา เจ้า ของ และเมื่อได้รับการกราบทูลให้ทรงทราบพระองค์ก็ทรงประสงค์ที่จะพบเอื้อย และเอื้อยก็ได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ด้วยความสงสารในตัวนาง พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะอธิเษกสมรสกับเอื้อยและตั้งให้เป็นพระราชีนี และพระเจ้าพรหมทัตทรงถอนต้น โพธิ์ไม่ขึ้น แม้จะมีไพร่พลช่วยก็ตาม จึงทรงรับสั่งให้เอื้อยถอน มาให้พระองค์และเมื่อเอื้อยขออนุญาตมารดาของตน ก็สามารถถอนต้นโพธิ์ขึ้นได้โดยง่าย พระเจ้าพรหมทัต ทรงแปลกพระทัย และทรงดำริว่าเอื้อยมีบุญบารมีสมเป็นพระชาชินี จึงพาไปอยู่ในวังและทรงตั้งให้เป็น พระชาชินีของพระองค์ในขณะเดียวกัน แม่เลี้ยงและลูกสาวทั้งสองของนางก็เกิดความอิจฉาริษยาอย่างมากที่ได้รู้ข่าว ว่า เอื้อยตอนนี้ได้กลายเป็นพระราชินีไปแล้ว จึงไปหายายเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งก็ออกอุบายให้ส่งข่าวไปบอกราชินีเอื้อย ว่าบิดาของนางเจ็บหนักใกล้จะตายแล้ว ทันทีที่ได้รับข่าวราชินีเอื้อยผู้กตัญญูก็รีบกลับมาเยี่ยมบิดาที่บ้าน แต่ก่อนที่จะเข้าบ้าน ผู้เป็นแม่เลี้ยงบอกให้นางถอดเครื่องทรงราชินีออกแล้วให้ไปอาบน้ำก่อนจึง ค่อยไปพบบิดา ในขณะเดินเข้าไปในห้องด้านใน พระราชินีผู้น่าสงสารก็ตกลงไปในกระทะน้ำเดือดที่นางแม่เลี้ยงจอมริษยา ซ่อนไว้เบื้องล่าง ยังผลให้พระราชินีสิ้นพระชนม์ในทันที จากนั้นอ้ายก็รีบแต่งเครื่องทรงพระราชินีและกลับ วังโดยปลอมเป็นเอื้อย นางเข้าไปพบพระราชาผู้ซึ่งแสดงอาการไม่ค่อยจะเชื่อว่าเป็นเอื้อย แต่อ้ายก็ใช้คาถา ที่ยายเฒ่าให้มาเสกให้พระราชาอยู่ใต้อำนาจของตน แม้กระนั้นพระราชาก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าทำไม่ต้นโพธิ์ จึงดูเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวา หลังจากถูกฆาตกรรมแล้วราชินี เอื้อยก็ไปเกิดเป็นนกแขกเต้า ด้วยความรักและห่วงใยในพระราชา จึงบินมาหาพระองค์และกราบทูลให้พระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด หลังจากสัตว์ผู้น่าสงสารกราบทูลเรื่อง ราวให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงเลี้ยงดูนกแขกเต้าไว้ในกรงทอง และทรงพูดคุยด้วยเสมอ และแล้ววันหนึ่ง ราชินีปลอมอ้ายก็แอบมารู้จนได้ ดังนั้นในขณะที่พระราชาเสด็จออกป้าเพื่อคล้องช้างเผือกมาสู่บารมี ราชินี ปลอมก็จับนกแขกเต้าผู้น่าสงสารถอนขนจนหมดแล้วส่งไปให้แม่ครัวแกง นกแขกเต้าแกล้งทำเป็นนอนตาย แม่ครัวเลยไม่สนใจปล่อยมันไว้ในครัวรอเวลาที่จะทำแกงนกถวายพระราชินีในตอน เย็นเจ้านกแขกเต้าผู้ปราศจากขนและ ทุกข์ทรมาน จึงสบโอกาสหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหนู เมื่อ หานกที่นอนตายอยู่ไม่พบและกลัวจะมีความผิด แม่ครัวจึงไปหาซื้อนกอื่นมาแกงถวาย พระราชินีแทน ฝ่าย แม่ครัวได้รับรางวัลตอบแทนเป็นผ้าสะไบ เจ้านกแขกเต้าผู้น่าสงสารอาศัย อยู่หนู จนกระทั่งขนขึ้นเต็มตัวก็บอกลาหนู ซึ่งก็อาสาพาไปส่งถึงชายป่าในขณะท่องเที่ยวไปในป่าอยู่ตามลำพังก็เกือบจะถูก งูกินไปแล้ว โชคดีที่นกใหญ่มาจับงูกินเสียก่อน และแล้วนกแขกเต้าก็มาพบพระฤๅษีผู้ซึ่งเกิดความสงสารก็เลยช่วยชุบนกแขกเต้า ให้กลายเป็นหญิงสาวสวย พระฤๅษีก็เลี้ยงดู เอื้อยอย่างลูกสาวของตน แต่ก็สังเกตเห็นว่าลูกบุญธรรมของตนดูจะเหงาหงอยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่านจึงวาดรูปขึ้นหลาย ๆ รูปแล้วให้เอื้อยเลือกเอารูปเดียว หลังจาเลือกแล้วท่านก็จะเสกให้เป็นคน เอื้อยจึงเอารูปเด็กชายมอบให้ฤๅษีใช้คาถาเสกให้เป็นคนเพื่อที่นางจะได้ เลี้ยงดูเป็นบุตรชาย ท่านฤๅษีจึงตั้งชื่อเด็กชายนั้นว่า “ ลบ ” >เมื่อลบอายุได้ 7 ขวบ ก็ถามหาชื่อบิดาของตน เอื้อยจึงเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด ลบจึงลามารดาไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต เอื้อยจึงร้อยมาลัยดอกไม้บอกเรื่องราวของตนให้ลบสวมคอไปเพื่อที่พระเจ้าพรหม ทัตจะได้ทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับนาง เมื่อมาถึงพระนคร ลบก็ถามหาต้นโพธิ์ชาวเมืองพากันประหลาดใจที่เห็นเด็กชายสวมพวงมาลัยอันงาม ไว้บนคอ จึงพูดต่อกันไปทั่ว พระราชาทรงทราบเข้าและสังหรณ์พระทัยว่าพระองค์อาจจะได้ทราบข่าวเกี่ยวกับ เอื้อยบ้าง ดังนั้นจึงทรงรับสั่งให้เด็กเข้าเฝ้าและแล้วพระองค์ก็ได้ทราบเรื่องราวทั้ง หมดจากเด็กชายนั้น พระราชาทรงพระประสงค์ที่จะพบเอื้อยมาก แต่ก็กลัวเวทมนต์ของอ้าย ดังนั้นพระองค์จึงออกอุบายเสด็จประพาสป่า และเมื่อเสด็จมาถึงศาลาของฤๅษี พระองค์ก็ทรงโสมนัสยิ่งนักที่ได้พบพระราชินีของพระองค์ จากนั้น พระฤๅษีจึงช่วยให้พระราชาพ้นอำนาจเวทมนต์ ทั้งสองพระองค์ดีใจที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ก็ต้องเสียใจที่ต้องสูญเสียลบไปเพราะลบจะต้องกลายเป็นรูปวาดอย่างเดิมภาย ใน 3 วัน นับจากวันที่สองพระองค์ได้พบกัน เพราะเป็นเงื่อนไขที่ฤๅษีกำหนดไว้ พระราชาทรงรับสั่งให้จัดงาน ฉลองรับขวัญพระราชินีเอื้อยเป็นเวลา 7 วัน หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากไปนาน พระองค์รับสั่งให้ประหารชีวิตพระราชินีปลอมเสียแต่เอื้อยกราบทูลขออภัยโทษ และพระองค์ก็ทรงเห็นด้วย แต่อ้ายฆ่าตัวตายเสียก่อนเพราะกลัวความผิด นางชิงฆ่าตัวตายเสียก่อนจะถูกจับตัวได้