ในสมัยเป่ยซ่ง เปาบุ้นจิ้นขุนนางที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ถึงแม้สอบเป็นขุนนางได้แล้ว แต่ด้วยความที่พ่อแม่อายุมากแล้ว จึงยังไม่ได้เข้ารับราชการ จวบจนกระทั่งพ่อแม่จากโลกนี้ไปแล้ว ถึงได้เข้ารับราชการ เมื่อเข้ารับราชการก็ยกเลิกกฏเกณฑ์คร่ำครึในที่ว่าการ โดยนำกลองมาวางไว้หน้าที่ว่าการเพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องทุกข์ หลังจากที่เหยินจงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์แล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเป็นนายอำเภอไคฟง ในเวลานั้นเฉินโจวประสบภัยพิบัติธรรมชาติ ประชาชนหิวโหยทุกข์ยากลำเค็ญ อันเล่อโหวผางอี้ได้รับพระบัญชาให้นำเสบียงอาหารและเงินทองนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ผางอี้กลับฉ้อราษฏร์บังหลวง ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น ข่าวนี้แพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง บรรดาขุนนางในราชสำนักต่างพากันถวายฏีกาเพื่อให้สืบเรื่องเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย เหยินจงฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเปาบุ้นจิ้นเป็นผู้แทนพระองค์ไปสืบหาความจริง ทั้งยังทรงประทานเครื่องประหารที่ประหารแล้วค่อยทูลรายงาน อันได้แก่ เครื่องประหารหัวมังกร เครื่องประหารหัวพยัคฆ์และเครื่องประหารหัวสุนัข ให้เปาบุ้นจิ้นด้วย ผางอี้ลำพองที่พ่อของตนเป็นถึงราชครูและน้องสาวเป็นถึงพระสนม ดังนั้นจึงไม่เห็นเปาบุ้นจิ้นอยู่ในสายตา เปาบุ้นจิ้นได้รับความช่วยเหลือจากกงซุนเช่อที่มีสติปัญญาดีและจั่นเจาจอมยุทธใต้ที่เก่งกล้าสืบหาหลักฐานการกระทำความผิดของผางอี้ จนผางอี้ถูกประหารด้วยเครื่องประหารหัวมังกร ราชครูผางและพระสนมผางต่างพากันทูลเหยินจงฮ่องเต้ถึงความร้ายกาจของเปาบุ้นจิ้น จั่นเจาลอบเข้าวังหลวงยามวิกาลเพื่อทูลความจริงต่อเหยินจงฮ่องเต้ นึกไม่ถึงว่าเหยินจงฮ่องเต้ไม่เพียงไม่เอาผิดจั่นเจา ทั้งยังแต่งตั้งจั่นเจาเป็นองครักษ์ขั้นสี่ฉายา “แมวหลวง” อีกด้วย นึกไม่ถึงว่าฉายา “แมวหลวง” แพร่สะพัดเข้าหูพวกจอมยุทธห้าหนูจนเกิดความอิจฉา ไป๋อี้ถังหนูขนแพรซึ่งทะนงตน มีหรือที่จะยอมรับ จึงขี่ม้ามายังศาลไคฟงเพื่อประลองกับจั่นเจา ฝีมือของจั่นเจาสมดั่งคำร่ำลือ ทำให้ไป๋อี้ถังยิ่งเกิดความไม่พอใจ จึงขโมยตราขุนนางของเปาบุ้นจิ้นไป เพื่อบีบบังคับจั่นเจาให้เดินทางไปที่เกาะเสี้ยนคงประลองกับตนให้รู้ผลแพ้นชนะกัน จั่นเจาไม่มีทางเลือกจึงต้องไปตามที่นัดหมาย และแล้วด้วยไหวพริบของจั่นเจาก็สามารถสยบไป๋อี้ถังลงได้