" คมหนึ่งเพื่อปกป้อง อีกคมเพื่อปราบปราม ... มีเพียง 1 ผู้นำชะตาที่จะได้ครอบครองดาบแห่งตำนาน " หนัง เป็นเรื่องราวของความเสื่อมของอาณาจักรโรมัน ทำให้ Romulus Augustus ในวัยหนุ่มหนีไปจากเมืองและลงเรือฝ่าอันตรายไปยังเกาะอังกฤษ เพื่อที่จะค้นหาผู้ที่จะมาร่วมเป็นกองทหารโรมันเพิ่มเติม โดยระหว่างทางนั้น เขาได้ค้นพบดาบในตำนานของ Julius Caesar ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจที่จะรักษากรุงโรมไว้ได้ ตัวอย่าง ดูน่าสนใจในระดับหนึ่ง ฉากการสู้รบดูน่าสนุกและน่าติดตามดีครับ ภาพเมืองก็ดูยิ่งใหญ่อลังการดีครับ ซึ่งหนังแนวนี้ก็ไม่เห็นมาพอสมควร หนังนำแสดงโดย Colin Firth , Ben Kingsley , Aishwarya Rai และ Thomas Sangster (นักแสดงเด็กจาก Love Actually) รับบท Romulus Augustus มีคิวเข้าฉายในอเมริกาแบบจำกัดโรงวันที่ 17 ส.ค. นี้ <เกี่ยวกับงานสร้างภาพยนตร์ ตำนานดาบ คิง อาเธอร์ The Last Legion> การ ปักหลักถ่ายทำเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมปี 2005 ที่ตูนิเซีย ที่สุด The Last Legion ก็กลายเป็นจริง หลังจากกว่า 6 ปีแล้วที่ มาร์ธ่า และ ดิโน่ เดอ ลอเรนทีส เริ่มคิดเล่นๆ ว่าอยากทำหนังแอ็กชั่นสักเรื่องอิงกับประวัติการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ในฐานะผู้อำนวยการสร้างนั้น พวกเขาต้องการสร้างมหากาพย์ผจญภัย ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ของเด็กชายคนหนึ่งกับอีกหนึ่งบุรุษที่มีใจพร้อมจะปกป้อง "เรา อิงความคิดจากหนังสือ The Last Legion ต้นฉบับของ วาเลริโอ มานเฟรดี้ เป็นหลัก แต่ผสมข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และเพิ่มเรื่องของจักรพรรดิโรมันองค์สุดท้ายที่เรารู้ๆ กันดีเข้าไปอีก" มาร์ธ่า เดอ ลอเรนทีส บอก "ไม่มีใครรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วจักรวรรดิโรมันล่มสลายเพราะเหตุปัจจัยไหน เราก็เลยตัดสินใจใช้ฉากหลังที่แสนจะยุ่งเหยิงเป็นตัวเล่าเรื่องของจักรพรรดิ องค์สุดท้าย ซึ่งยังเด็กและพยายามจะปกป้องจักรวรรดิไว้ให้ได้ จริงๆ เขาอายุแค่ 12 เท่านั้น แต่เป็นรากฐานของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น" เรื่อง ราวดำเนินไปตามโชคชะตาที่อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ ของ โรมุลัส ออกัสตัส วัย 12 จักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ครองเมืองเพียงชั่วครู่ สูญเสียบิดามารดาในช่วงที่โรมถูกยึด และถูกส่งตัวไปคุมขังยังป้อมปราการบนเกาะคาปรี ก่อนเริ่มจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่างๆ ต่อจากนี้ นับเป็นการผจญภัยของเหล่าทหารที่ยังองอาจภักดีต่อ ซีซาร์ จัดการหาทางหนีให้ โรมุลัส สู่บริแทนเนียอันไกลโพ้น กับการตามหากองกำลังหนึ่งเดียวที่ยังซื่อสัตย์ต่อกรุงโรม นัก เขียนหลายคนเข้ามาช่วยกันปรุงแต่งเรื่องส่วนต่างๆ โดยมี เดวิด ลีแลนด์ มือเขียนบท เป็นผู้ผสานทุกส่วนเข้าเป็นหนึ่ง ลีแลนด์ เข้าตาผู้อำนวยการสร้างตั้งแต่พวกเขาได้อ่านบทละครโทรทัศน์เรื่อง Pendragon ซึ่ง สตีเว่น สปีลเบิร์ก สร้างให้กับช่อง HBO "บทที่ เดวิด เขียนให้ HBO นั้นเยี่ยมมากๆ และอีกอย่างเพราะเขาคุ้นเคยกับช่วงเวลาและภาษาที่ใช้ในช่วงนั้นพอดี ต้องรวมส่วนต่างๆ ของบทและร้อยมันเข้าด้วยกันเป็นเรื่องราวที่ตรงใจเราแน่ๆ เดวิด เขาเหมือนกับมีเวทมนตร์เลย" มาร์ธ่า กล่าวทันทีที่บทเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งก็ทำให้ถึงเวลาหาผู้กำกับฯ สักคนที่สามารถหลอมรวมองค์ประกอบที่ขัดแย้งต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ รา ฟฟาเอลล่า เดอ ลอเรนทีส ลูกสาวของ ดิโน่ ผู้อำนวยการสร้าง เสนอชื่อ ดั๊ก เลฟเลอร์ ซึ่งเคยร่วมงานกับเธอมาก่อนใน Dragonheart 2 จนกระทั่งทั้ง ราฟฟาเอลล่า และ มาร์ธ่า ต่างเห็นตรงกันว่า เลฟเลอร์ เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุด "ดั๊ก เป็นทั้งศิลปินและผู้กำกับหนังแอ็กชั่นชั้นเลิศ เขาหลอมรวมฉากแบบมหากาพย์เข้ากับฉากที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วได้แน่ ประสบการณ์ที่เขามีทั้งการได้ร่วมงานกับผู้กำกับหนังแอ็กชั่นคนเก่งๆ รวมไปถึงการคลุกคลีอยู่กับแอนิเมชั่น ทำให้ ดั๊ก มองเห็นทุกอย่างชัดเจน และรู้ว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างไรให้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกเริ่ม สุดท้ายเขาก็วาดสตอรี่บอร์ดออกมาให้เราดูแบบเฟรมต่อเฟรม" "ตอน ที่ ราฟฟาเอลล่า โทร.มาหาผม ผมอยู่ในร้านหนังสือ กำลังหาข้อมูลของอีกโปรเจกต์หนึ่งพอดี" ดั๊ก เลฟเลอร์ อธิบายจุดเริ่มและความเป็นไป "เธอถามผมว่าผมว่างพอจะอ่านบทของหนังที่เธอกับพ่อทำร่วมกันไหม คืนนั้นผมกลับไปอ่าน วันรุ่งขึ้นผมก็โทร.หา ราฟฟาเอลล่า บอกเธอว่าผมอยากกำกับหนังเรื่องนี้ ตกปากรับคำกับเธอทันที ผมว่าโปรเจกต์นี้คล้าย Dragonheart 2 ที่เธอเคยให้ผมกำกับเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่คราวนี้ยิ่งใหญ่กว่าเก่า อลังการกว่าเดิม และซับซ้อนขึ้นมาก ที่ผมหลงใหลคือเรื่องราว ซึ่งถ่ายทอดผ่านสายตาของเด็กอายุ 12 มนุษย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ แต่โลดแล่นอยู่ในมหากาพย์ที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว หนังจะมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ แรงๆ เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ แต่เรื่องก็ยังปักหลักอยู่ที่ตัวละคร ในฐานะผู้กำกับฯ สิ่งที่ผมหวังที่สุดในโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่ง ก็คงจะเป็นเรื่องราวที่จับใจและนักแสดงฝีมือดี ซึ่งผมโชคดีจริงๆ ที่ตอนนี้มีทั้งสองอย่างอยู่ในมือแล้ว"