Lost in Austen เมื่อชายในฝันมีจริง มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าได้หลุดเข้าไปในนิยายอมตะที่คุณคลั่งไคล้ นั่นล่ะคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ อแมนดา ไพรส์ สาวลอนดอนผู้ชื่นชอบนิยาย Pride and Prejudice เป็นชีวิตจิตใจ เมื่อค่ำคืนหนึ่งเธอพบว่าห้องน้ำของเธอมีผู้หญิงแต่งชุดกระโปรงสมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ปี1800 เศษๆ)โผล่มาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และพูดคุยกับอแมนดาด้วยสำนวนโบราณๆ พร้อมกับแนะนำตัวว่า...เธอชื่อ อลิซาเบธ เบนเนต!!! ถ้าใครเป็นคอวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ คงจะรู้จัก Pride and Prejudice นิยายรักอมตะจากปลายปากกาของนักเขียนหญิง Jane Austen ซึ่งถูกนำมาสร้างเป็นหนังและทีวีซีรีส์มาหลายต่อหลายครั้ง แม้พล็อตเรื่องจะเรียกได้ว่าน้ำเน่า...รักต่างชนชั้นฐานันดรของ Mr.Darcy ชายหนุ่มผู้มาจากชาติตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง กับ Elizabeth Bennet หญิงสาวจากครอบครัวเศรษฐีเล็กๆ ในชนบทของอังกฤษ แต่ก็เป็นเวลากว่า 200 ปีแล้วที่มิสเตอร์ดาร์ซีครองใจนักอ่านหญิงทั่วโลก มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากนอกจากความหยิ่ง..หล่อ..รวย...แต่สุดท้ายก็มาแพ้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่ออลิซาเบธ...ซึ่งแม้จะไม่รวยไม่สูงศักดิ์เท่า...แต่เธอก็หยิ่งทะนงพอจะปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขาไปถึงหนึ่งครั้ง (ก่อนจะมีครั้งที่สองในตอนท้ายเรื่อง) เอาเป็นว่าขอไม่เล่าเรื่องย่อของ Pride and Prejudice ดีกว่า เพราะมันถูกสร้างเป็นหนังมาบ่อยมาก โดยส่วนตัวแล้วเราก็เคยได้ดูทั้งเวอร์ชันหนังขาวดำ เวอร์ชั่นที่อินเดียเอาไปสร้างในชื่อว่าBride and Prejudice เวอร์ชันปี 2005ที่ได้เคียร่า ไนท์ลีย์มาเป็นนางเอก จนกระทั่งได้มาพบมินิซีรีส์ Lost in Austen ซึ่งเป็นของเกาะอังกฤษ ก็เลยสนุกอีกแล้วที่ได้เห็นมิสเตอร์ดาร์ซีเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอีกครั้ง แถมครั้งนี้ฉีกกฎของนิยายไปเสียทุกข้อ เพราะเรื่องมันถูกสร้างโดยเริ่มต้นที่ อแมนดา ไพรซ์...สาวลอนดอนในศตวรรษที่ 21 ผู้คลั่งไคล้นิยาย Pride and Prejudice ค้นพบว่าประตูในห้องน้ำของเธอสามารถเชื่อมไปยังคฤหาสน์ของตระกูลเบนเนตแห่ง Pride and Prejudice ได้!!! และอลิซาเบธ เบนเนต ก็ใช้ประตูบานนี้มาทักทายเธอ ในที่สุดอแมนดาก็เดินเข้าไปในนั้น ทำให้ต้องไปผจญภัยในโลกของนิยายที่เธอคลั่งไคล้ แต่อลิซาเบธ นางเอกตัวจริงของเรื่องนี้กลับไปอยู่ในลอนดอนยุคปัจจุบันแทนที่อแมนดา มันโอละพ่อไหมล่ะนั่น!! ขอขำกับคนเขียนบทที่ใส่เรื่องราวฮาๆ อยู่ตลอด เพราะเมื่ออแมนดาเข้าไปในคฤหาสน์เบนเนต และแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของอลิซาเบธ พอได้พบพ่ออลิซาเบธ อแมนดาก็ถามชื่อตัวของคุณพ่อทันที ทำเอาเราดูแล้วขำก๊าก(รู้สึกคำตอบจะเป็นชื่อโคล้ด) เพราะแบบว่าในนิยายเรื่องนี้...ไม่มีการเรียกชื่อตัวของพ่อแม่ของอลิซาเบธเลย มิสเตอร์เบนเนตก็เรียกภรรยาว่า “มิสซิสเบนเนต” และมิสซิสเบนเนตก็เรียกสามีว่า “มิสเตอร์เบนเนต” ดังนั้นปริศนาธรรมเรื่องชื่อตัวของพ่อแม่นางเอกจึงเป็นที่เล่าลือแบบขำๆในหมู่นักเรียนวรรณคดีอังกฤษมานานแสนนาน แต่พออแมนดาเข้าไปในโลกนั้นปุ๊บเธอก็ยิงคำถามนี้ปั๊บเพราะคงจะคาใจมานานมาก ทำเอามิสเตอร์เบนเนตแกก็งงๆ ไปเหมือนกัน ความวายป่วงก็ตามมาอีก เมื่อมิสเตอร์บิงก์ลีย์...หนุ่มผู้ดีชาวเมืองซึ่งมาพักร้อนในชนบทเกิดรู้สึกปิ๊งๆ อแมนดาเข้า ทำเอาอแมนดาร้อนตัวเพราะเธอรู้ดีว่ามิสเตอร์บิงก์ลีย์ต้องคู่กับ เจน เบนเนต พี่สาวคนโตของอลิซาเบธต่างหาก!!! พอเจอมิสเตอร์คอลลินส์ซึ่งมาที่คฤหาสน์ตระกูลเบนเนตเพื่อสู่ขอเจ้าสาวสักคน (เพราะตระกูลนี้มีลูกสาวตั้งห้าคน) อแมนดาก็เป็นเดือดเป็นร้อนเพราะเธอรู้ดีว่ามิสเตอร์คอลลินส์ต้องคู่กับชาร์ล็อตต์เพื่อนข้างบ้านของอลิซาเบธ พออแมนดาเจอหน้ามิสเตอร์วิคแฮม..ทหารหนุ่มหล่อเหลาหูตาแพรวพราวเธอก็ยี้ใส่หน้าทันทีเพราะรู้ว่าหมอนี่คือตัวร้ายของเรื่อง แต่เพราะความรู้มากของนางเอกนี่แหละที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งๆ เข้า เนื้อเรื่องดั้งเดิม อลิซาเบธกับครอบครัวพบกับมิสเตอร์บิงก์ลีย์และเพื่อนสุดหยิ่งของเขา...มิสเตอร์ดาร์ซีที่งานเลี้ยง มิสเตอร์บิงก์ลีย์ชอบพอกับเจนพี่สาวของนางเอก แต่ดาร์ซีขัดขวางเพราะเห็นชัดๆว่าครอบครัวอลิซาเบธหวังเกาะคนรวย จากนั้นมิสเตอร์คอลลินส์ก็เข้ามา...อลิซาเบธปฏิเสธคำขอแต่งงานจากคอลลินส์...เขาเลยไปสู่ขอชาร์ล็อตต์เพื่อนข้างบ้านของอลิซาเบธแทน นายทหารวิคแฮมรูปหล่อก็เข้ามาทำความรู้จักอลิซาเบธ ทำเอาดาร์ซีต้องเตือนเธอว่าอย่ายุ่งกับวิคแฮมเพราะเป็นคนหลอกลวง(แน่นอนว่านางเอกไม่เชื่อ) สุดท้ายวิคแฮมก็พาน้องสาวคนนึงของอลิซาเบธหนีไปด้วยกัน จนดาร์ซีต้องมาให้ความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ครอบครัวนางเอกต้องเสียหาย อลิซาเบธก็เลยแพ้ใจดาร์ซีในที่สุด แต่ในซีรีส์เรื่องนี้...เพราะความจุ้นจ้านรู้มากขออแมนดานี่แหละที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่ง มิสเตอร์คอลลินส์กลับมาขอเจนแต่งงาน (แถมก่อนหน้านั้นคอลลินส์ก็อแมนดาแต่งงานด้วยนะ) นายทหารวิคแฮมก็ไม่ใช่ตัวร้าย มิสเตอร์บิงก์ลีย์กลายเป็นคนที่กินแห้วมากที่สุด แถมอแมนดายังได้แสดงความกล้าหลายๆ อย่างที่ผู้หญิงยุคนั้นไม่กล้าทำกัน อย่างเช่น ถองเข่าใส่คอลลินส์กลางงานเลี้ยง พกยาพาราเซตามอลไปใช้จนชาวบ้านงงว่านี่มันคืออะไร แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คงเป็นมิสเตอร์ดาร์ซีนี่แหละ...หยิ่ง...ทะนง...เชื่อมั่นในตัวเองตามต้นฉบับเป๊ะๆ แถมยังแสดงอาการหมิ่นหยามอแมนดาชัดมากๆ ทำเอาอแมนดาแทบฉีกนิยายPride and Prejudice ทิ้งไปเลยเมื่อมาเจอมิสเตอร์ดาร์ซีที่เย็นชาแบบนี้ แต่เดินเรื่องไปเรื่อยๆ...ภาคสว่างของมิสเตอร์ดาร์ซีก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเอง เราเองก็ชอบนะสำหรับเวอร์ชั่นนี้ เพียงแต่ว่าสีหน้าดาร์ซีดูบึ้งๆตลอด...ค่อนข้างเป็น moody Darcy เลยล่ะ แต่ก็น่าร้ากกกกก ยังไงก็ตามชอบมิสเตอร์บิงก์ลีย์มากกว่า...หน้าตาหล่อดี...เสียดายบทด๋อยกว่าดาร์ซีเห็นๆเลย คนขวาสุดคือบิงก์ลีย์ ส่วนคนซ้ายคือดาร์ซี งานนี้เทใจให้บิงก์ลีย์แฮะ...หล่อใสกว่าเห็นๆ และเชื่อได้ว่าถ้าใครที่รู้จัก Pride and Prejudice มาก่อนจะดูซีรีส์เรื่องนี้ได้สนุกมาก เพราะมันแหวกกฎไปเสียทุกตอน มีอะไรให้ฮากันได้ตลอดเพราะความที่อแมนดาพยายามจะบอกใครๆ ว่า “ฉันรู้ว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อไป มิสเตอร์คนนั้นจะขอเธอแต่งงานไม่ได้นะ อ๋อ...แกก็คือวิคแฮม...ฉันเกลียดแก!” แต่ทุกครั้งนางเอกก็ทำวุ่นไปหมด ทำให้โลกของPride and Prejudice บิดเบี้ยวเพี้ยนไปจากต้นฉบับ...จนนางเอกยังพูดรำพึงเลยว่างานนี้เธอคงทำให้ Jane Austen ผู้ประพันธ์เรื่องนี้ซึ่งล่วงลับไปเป็นร้อยๆ ปีแล้วต้องกุมขมับแหงๆ (ฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยแม่น..แต่คิดว่าอแมนดาพูดประมาณนี้) แต่เพราะมันไม่เหมือนต้นฉบับนี่แหละเลยสนุก เพราะตัวละครปฏิวัติกันซะหมด มีหยอดบทพูดเกี่ยวกับอิสรเสรีภาพซะด้วยนะ...คือทำให้เรื่องเข้ายุคเข้าสมัยกันจริงๆ เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นยังไง...หาดูในอินเทอร์เนตกันได้นะ...เราเองก็ดูจาก youtube เพราะมันมีอยู่แค่ 4 ตอนเอง (สั้นจัง...อยากให้ยาวๆ กว่านี้) ซีรีส์นี้มันเหมือนเติมความฝันให้สาวๆ ยุคปัจจุบัน เพราะหลายคนเลยที่เพ้อถึงมิสเตอร์ดาร์ซี ตัวอย่างชัดๆก็คืออแมนดาที่คลั่งไคล้จนคนรอบตัวเตือนให้เธอเลิกเพ้อฝันได้แล้ว และเมื่อเธอเข้าไปในโลกของPride and Prejudice จนได้พบมิสเตอร์ดาร์ซีที่แสนเย็นชาก็ทำเอาเธอแทบหงายผึ่ง เพราะเย่อหยิ่งร้ายกาจจนนางเอกรับไม่ได้ แต่สุดท้ายต่างฝ่ายก็ค่อยๆ ทะลายกำแพงมาหากัน เพราะมันไม่ใช่แค่แตกต่างกันเรื่องชนชั้น...แต่ยังเป็นเรื่องโลกความจริงกับโลกความฝันด้วย เพราะงั้นฉากจบเราว่ามันก็ดูแฮปปี้ดีนะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้านางเอกเลือกที่จะอยู่ในโลกนั้น...แล้วพ่อแม่พี่น้องทางนี้จะเป็นยังไงหว่า? แต่ถ้ามันเป็นความสุขของอแมนดาก็คงเป็นสิทธิ์ของเขา..มันก็แค่ละครเรื่องนึงละนะ อยากให้ได้ดูซีรีส์ Lost in Austen พร้อมๆ กับหนังเรื่องPride and Prejudice ที่สร้างมาหลายต่อหลายครั้งค่ะ แล้วจะรู้ว่าทำไมวรรณกรรมเรื่องนี้ของJane Austen ถึงได้มีเสน่ห์และเป็นอมตะขนาดนี้ เพราะเนื้อเรื่องทุกอย่างมันลงตัว บทพูดคมคาย ไม่มีเลิฟซีนสักฉาก (ในต้นฉบับนิยายไม่มีกระทั่งการจูบ) แต่กลับทำให้สาวๆ รับรู้ถึงความรักของพระ-นางได้อย่างลึกซึ้ง และที่สำคัญชื่อของมิสเตอร์ดาร์ซีคงจะเป็นพระเอกในฝันของสาวๆ ไปอีกนาน (เวลาฝรั่งเขาทำโพลล์พระเอก...มิสเตอร์ดาร์ซีมักจะติดโผอยู่ตลอด...ทั้งที่นักเขียนโรมานซ์สมัยใหม่พยายามขยันปั้นพระเอกแนวโน้นนี้ที่แปลกใหม่ตลอดเวลา แต่ดาร์ซีก็แทบไม่เคยหลุดโผสักครั้ง) เพราะเขาเป็นต้นแบบพระเอกแนวหยิ่ง..ทะนง..อหังการ์...แต่สุดท้ายก็ยอมยกหัวใจให้ผู้หญิงคนหนึ่งนี่แหละ ผู้หญิงทุกคนไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้หรอก ปล.แถมท้าย...Jane Austen ผู้สร้างวรรณกรรมสะเทือนโลกท่านนี้...แม้จะเขียนนิยายโรแมนติก แต่ชีวิตจริงเธอไม่ได้แต่งงานนะคะ เธอครองตัวเป็นโสดจนเสียชีวิตตอนอายุไม่ถึง 50 เอง และนิยายที่เสร็จสมบูรณ์ของเธอมีอยู่ประมาณ 6 เรื่องเท่านั้นค่ะ แต่กลับเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนโรมานซ์ยุคใหม่ได้ไม่สิ้นสุดเลย และงานเขียนของเธอช่วยสะท้อนสังคมค่ะ เพราะในยุคนั้นผู้หญิงไม่มีสิทธิได้รับมรดก การแต่งงานมันเป็น “หน้าที่”...ไม่อย่างนั้นสมบัติของครอบครัวจะสูญไป (ครอบครัวเบนเนตที่มีลูกสาว 5 คนจึงรับเคราะห์จากกฎหมายอังกฤษซึ่งไม่ให้สิทธิ์แก่ผู้หญิงแบบนี้ แม่ของอลิซาเบธจ้องจะจับลูกสาวแต่งงานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเธอไม่อยากให้สมบัติตกเป็นของคนอื่น..ต้องคนรวยกว่าเท่านั้น) การที่ผู้หญิงในนิยายเรื่องนี้คิดแต่เรื่องการแต่งงานไม่ใช่เพราะหมกมุ่น แต่สังคมมันบังคับและพวกเธอก็เต็มใจด้วยค่ะ อืม...งั้น 200 กว่าปีต่อมาในยุคกูเกิ้ล ประเทศสารขัณฑ์แห่งหนึ่งผู้หญิงก็มีสิทธิ์ในมรดกชัดเจนแล้ว..แถมได้รับโอกาสร่ำเรียนหาความรู้เพื่อประกอบอาชีพ แต่ทำไมเธอยังมักจะถูกขายเป็นเจ้าสาวขัดดอกอยู่อีกล่ะ? ในอนาคตข้างหน้าถ้ามีการนำเอาวรรณกรรมยุคนี้ไปศึกษา..คงได้ข้อสรุปอย่างเดียวว่าประเทศนี้ยังขาดความเท่าเทียมอยู่มาก พระเอกจึงต้องรวยขั้นเทพและนางเอกจึงต้องเป็นเจ้าสาวขัดดอกอยู่เช่นนี้ร่ำไป...อาเมน...